กะหล่ำปลีดอง (ซาวด์เคลาน์)

ผักดองที่ทำง่ายที่สุดไม่มีอะไรเกิน Sauerkraut เพราะใช้แค่ผักกับเกลือแค่นั้นเลยจริงๆ มันคือวิธีกำจัดกะหล่ำปลีที่กินเหลือที่สุดยอดมากๆ รสชาติของการหมักทำให้มันอร่อย

เร่ิมต้นด้วยการชั่งน้ำหนักกระหล่ำปลีที่เหลือในตู้เย็น จากนั้นล้างทำความสะอาดให้มากที่สุด ก่อนที่จะซอยให้เป็นเส้นบางๆ ปั่นให้แห้ง แล้วเติมเกลือให้ได้ประมาณ 2% ของนำ้หนักของผัก คลุกให้ทั่ว รอทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จะพบว่ามีน้ำออกมาจากผัก

ลำเลียงผักลงในขวดโหลที่ทำความสะอาดมาดีแล้ว ใช้ช้อนกดผักให้แน่นๆ ซึ่งจะทำให้มีน้ำออกมาจากผักมากขึ้นด้วย ค่อยๆ กดลงไปเรื่อยๆ จนเต็มขวดโหล ให้แน่ใจว่าผักทั้งหมดควรจะจมอยู่ใต้น้ำ จากนั้นปิดฝาขวดแบบหลวมๆ ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ที่ไม่โดนแสงแดดโดยตรง และไม่ร้อนจนเกินไป (ดีที่สุดคือราว 15-20 องศาเซลเซียสแบบในยุโรป)

รอผ่านไปอีก 2-3 วัน แล้วลองตรวจดูว่าทุกอย่างยังดูสะอาดอยู่ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้น แค่ผักมีสีเข้มขึ้นเท่านั้น ลองชิมรสชาติว่าปกติดีหรือไม่ กดผักให้จมน้ำลงไปใหม่แล้วปิดฝา ที่จริงตอนนี้ก็สามารถเอามากินได้แล้ว แต่ถ้าหมักต่อไปอีกจะอร่อยยิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนมาหมักไว้ในตู้เย็นต่อได้ (แต่กระบวนการจะช้าลง)​ ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกินคือ 1 เดือน

กระบวนการหมักเกิดจากจุลินทรีย์แลกโตบาซีรัส ซึ่งมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ทำให้ผักมีรสเปรี้ยวเพราะเกิดกรดแลกติกขึ้นในน้ำผัก สภาพที่เป็นกรดทำให้ผักสามารถอยู่ได้นาน เป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง และยังทำให้ได้รสชาติที่อร่อยอีกด้วย

พาสต้าเบคอนชีส

อาหารง่าย แต่โคตรอร่อยของผม พาสต้าเบคอนชีส

ส่วนผสม

  • เพนเน่ 60 กรัม
  • เบคอน 45 กรัม
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
  • พาเมซานชีส จำนวนหนึ่ง
  • กระเทียม 1-2 กลีบ
  • พริกไทย และผงพาสลีย์สับ เล็กน้อย

วิธีทำ

  1. ต้มเส้นเพนเน่ในน้ำเดือดที่ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย นาน 10 นาที หรือตามที่ข้างซองระบุไว้ คนบ้างนานๆ ที เพื่อป้องกันมิให้เส้นติดก้นหม้อ เสร็จแล้วยกขึ้นพักไว้ เก็บน้ำต้มพาสต้าไว้ราว 1/4 ถ้วย เผื่อใช้
  2. ตั้งไฟกลาง นำเบคอนลงไปทอด ไม่ต้องรีบ ถ้ารอให้เบคอนค่อยๆ สุก จะอร่อยมากกว่า ใช้เวลานานเท่าไรแล้วแต่ว่าชอบความกรอบระดับไหน  เสร็จแล้วตักเบคอนขึ้นพักไว้ เทน้ำมันเบคอนที่เหลือในกระทะออกส่วนหนึ่ง ให้เหลือไว้แค่พอประมาณ จากนั้นใส่น้ำมันมะกอก เอากลับไปตั้งไฟกลางใหม่ ใส่กระเทียมลงไปทอดจนเหลืองทอง ใจเย็นๆ เช่นกัน ถ้าไฟแรงเกินไป เดี๋ยวกระเทียมไหม้หมด เมื่อกระเทียมได้ที่แล้ว ใส่เส้นเพนเน่ที่ต้มไว้แล้วลงไปผัด ให้น้ำมันเคลือบเส้นให้เงางามน่ารับประทาน เติมเกลือ พริกไทย และผงพาสลีย์สับ ถ้ากระทะแห้งเกินไปให้เติมน้ำต้มพาสต้าที่เก็บไว้เท่าที่ต้องการ ตามด้วยเบคอนที่ทอดไว้แล้ว ผัดต่อไปอีกแค่ 15 วินาที  ยกขึ้นเสิร์ฟ
  3. โรยหน้าด้วยพาสเมซานชีสเท่าไรก็ได้แล้วแต่ชอบ แต่เยอะๆ ก็ดี ยิ่งเยอะยิ่งอร่อย หรือถ้าเป็นไปได้ เป็น Parmigiano Reggiano ด้วยจะยิ่งอร่อยกว่าพาสเมซานอีก

โครงการ LED แสดงผลภาษาจีน

เมื่อสองเดือนก่อนเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากทำ LED display ที่แสดงคำศัพท์ภาษาจีนวันละคำ ตั้งไว้ที่หัวเตียง เพื่อทบทวนศัพท์ไปในตัว ก็เลยลุย Arduino เพื่อหาวิธีทำ ซึ่งนับว่าเข็นครกขึ้นภูเขามากๆ กว่าจะพบว่ายังไม่สามารถทำได้ในเวลานี้

เนื่องจากว่า LED display จะแสดงภาษาจีนได้ก็ต่อเมื่อมันแสดง Unicode ได้ ซึ่งในเวลานี้มีแค่ไลบรารี่ที่ชื่อว่า u8g2 เท่านั้น ที่ support แต่ปัญหาต่อมาก็คือ u8g2 ใช้ได้กับ LED Display บางรุ่นเท่านั้น ซึ่งก็คือ ตระกูล MAX7219 (ลองซื้อ RGB LED Matrix Panel มา ก็เลยเสียเงินเปล่า ต้องไปซื้อ MAX7219 8×32 มาใหม่แทน)

แต่ก็พบว่าปัญหายังไม่จบ เพราะแม้ว่าผมจะทำให้ MAX7219 แสดงภาษาจีนได้ก็จริง แต่ฟอนต์ภาษาจีนที่เล็กที่สุด คือ 12 pixel height แต่ว่า MAX7219 สูงแค่ 8 pixel เท่านั้น ก็เลยแสดงภาษาจีนได้แบบแหว่งๆ

สุดท้ายแล้วต้องรอให้ u8g2 สนับสนุน LED Display รุ่นใหม่ๆ ที่สูงกว่า 12 pixel หรือไม่ก็มีฟอนต์จีนตัวใหม่ออกที่มีขนาดเล็กว่า 8 pixel ซึ่งคิดว่าแบบหลังนี่น่าจะยาก เพราะหนังสือจีนอาจไม่สามารถเขียนได้เล็กขนาดนั้น น่าจะต้องรอแบบแรกมากกว่า

สรุปแล้วต้องพับโครงการนี้ไปก่อน

ล่าสุดที่ทำให้แสดงผลภาษาจีนแบบแหว่งๆ ได้นั้น ผมใช้ Arduino Mega กับ u8g2 library โดยใช้ฟอนต์ u8g2_font_wqy12_t_chinese3 โดยใช้ตัวอย่างโค้ดจาก example ของ u8g2>full buffer>PrintUTF นั่นเอง

Reference

https://github.com/olikraus/u8g2/

 

New Year Resolution 2023

ก่อนจะเข้าปี 2023 รู้สึกว่า แผนการกินอาหารของเราจะยังไม่กระชับพอ อยากทำให้มัน Minimal มากกว่านี้

ผมคิดว่าผมจะลองหันมากินวันละสองมื้อดู และทุกวันพฤหัสก็จะกินแค่มื้อเดียว ซึ่งจะทำให้การกินอาหารในชีวิตกลายเป็นเรื่องที่ง่ายลงอย่างมาก แถมได้สุขภาพด้วย

มื้อเช้าของผมก็จะกินแต่นม ใส่ธัญพืช ถั่ว และเบอรี่ต่างๆ แต่ถ้าไม่พอก็จะกินไข่ดาวเบคอนเพิ่ม แค่นั้นเลย

มื้อกลางวันผมจะกินนอกบ้าน กินอะไรก็ได้ที่อยากกิน แต่ถ้าอยากดูแลตัวเองหน่อย ก็จะเลือกกินพวกสุกี้ ชาบู สเต็ก หรือไม่ก็อาหารอิสาน เรียกได้ว่าเป็นแนวโลคาร์บ

ส่วนมื้อเย็นจะไม่กิน หรือไม่ก็กินแค่ผลไม้

นอกจากนี้ในแต่ละสัปดาห์ผมจะพยายามกินชาบูให้ได้หนึ่งมื้อ (น่าจะเป็นวันจันทร์เที่ยง) และชุดปลาแซลมอลย่างเกลือกินกับบล็อกเคลี่และกิมจิให้ได้อีกหนึ่งมื้อ (น่าจะเป็นวันพุธเที่ยง)​

แค่นี้ก็จ่ายตลาดก็จะง่ายขึ้นอย่างมาก ขอเหลือก็จะมีน้อยมากด้วย

ส่วนในเรื่องการออกกำลังกายตั้งใจว่าก่อนจบปี 2023 ผมจะเลิกเข้ายิมแล้วหันมาเป็นแนว Calisthenics โดยสมบูรณ์

ตอนนี้ผมหันวิดพื้นให้ได้วันละ 100 ครั้งอยู่ ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จเมื่อไหร่ ก็อาจเพิ่มการดึงข้อด้วย เพื่อให้กล้ามเนื้ออกและหลังได้ออกกำลังกายเท่าๆ กัน ส่วนกล้ามท้องและหลังเรามีท่าออกกำลังกายทุกเช้าที่ทำสลับวันกับการวิดพื้นอยู่แล้ว ทุกอย่างจะทำทุกวันในตอนเช้า ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีเท่านั้น

เหลือแค่การคาดิโอ ซึ่งภายในปีนี้ผมจะเปลี่ยนไปวิ่งที่สวนสาธารณะแทน แค่สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้ว

เพียงแค่นี้อาหารการกินและการออกกำลังกายของผมในปี 2023 ก็จะมินิมัลและคูลแบบสุดๆ

ทำน้ำจิ้มชาบูปิ้งย่าง

หลักของการทำน้ำจิ้มชาบูปิ้งย่างคือ ให้มีรสเค็ม เปรี้ยว หวาน เผ็ด ครบ จะสังเกตได้ว่าน้ำจิ้มอย่างแจ่ว เป็นน้ำจิ้มปิ้งย่างที่ดี เพราะว่ามันมีรสทั้งสี่อย่างครบ เป็นต้น หลังจากนั้นก็ค่อยมาดูว่า แต่ละคนชอบรสอะไรเป็นหลัก บางคนชอบเค็มนำ บางคนชอบหวานนำ หรือบางคนกินเผ็ดๆ บางคนไม่กินเผ็ด ก็ค่อยปรับสูตรนิดหน่อยให้เข้ากับความชอบของแต่ละคนอีกที

รสเปรี้ยวในน้ำจิ้มชาบูส่วนมากก็หนีไม่พ้น น้ำมะนาว แต่ถ้าฉุกเฉินหาไม่ได้ ก็ใช้น้ำส้มสายชูแทน ซึ่งพบมากกว่าในน้ำจิ้มเอเชียตะวันออกไกล หรือถ้าอยากได้รสชาติที่แปลกหน่อย ก็อาจใส่น้ำมะขามแทน

รสเค็มในน้ำจิ้มคือ ซีอิ้ว ซึ่งมีหลากหลายแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นซีอิ้วขาว โชยุ น้ำปลา หรือแม้แต่เกลือ ซึ่งแต่ละแบบจะให้รสชาติประจำชาติที่ต่างกัน อาจใช้หลายๆ ตัวผสมกัน เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของรสชาติขึ้น และอาจใช้น้ำมันหอย หรือเต้าเจี้ยวด้วยก็ได้

รสเผ็ดก็หนีไม่พ้นพริกสดสับสำหรับคนไทย หรือจะเป็นพริกป่นสำหรับคนอิสาน พริกน้ำมันสำหรับคนจีน และพริกป่นเกาหลีสำหรับคนเกาหลี เป็นต้น

รสหวานแบบง่ายที่สุดคือใส่น้ำตาลทราย ไม่ว่าจะน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง แต่รสหวานแบบนี้จะหวานแสบ บางคนใส่น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง เพื่อให้หวานนุ่ม แต่ผมแนะนำให้ลองใส่น้ำจิ้มอื่นๆ ที่มีรสหวานอยู่ในนั้นลงไปแทนการใส่น้ำตาล จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของรสชาติ อาทิ น้ำจิ้มไก่ โคชูจัง ซอสมะเขือเทศ บาบีคิวซอส ซอสงา ซอยหอยซิน หรือน้ำจิ้มสุกี้ ก็ได้

ในตอนแรกสุดควรเริ่มต้นด้วยรสเค็ม หวาน เปรี้ยว เผ็ด อย่างละเท่ากัน เช่น อย่างละหนึ่งช้อนโต๊ะก่อน ชิมดูว่ากลมกล่อมหรือยัง ซึ่งแต่ละคนจะชอบไม่เหมือนกัน ก็ค่อยเพิ่มเฉพาะส่วนที่อยากให้เยอะขึ้น เช่น ชอบเค็ม ก็อาจเติมซีอิ้วให้มากขึ้นหน่อย ให้ได้ความสมดุลในแบบที่แต่ละคนต้องการ จากนั้นค่อยเติมพวก กระเทียม ต้นหอมสับ ผักชีสับ งาบด ลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นและความน่ากินให้มากขึ้น เสร็จแล้วแช่ตู้เย็นไว้

เราสามารถกำจัดของเหลือในตู้เย็นจำพวกเครื่องปรุงต่างๆ ด้วยการเอามาทำน้ำจิ้มได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้ได้รสชาติที่ซับซ้อนขึ้นไปด้วย

หมายเหตุ ภาพประกอบจากร้านไฮตี่เลา

การเดินตลาดสดธนบุรีที่น่าประทับใจ

ลองไปซื้อผักที่ตลาดสดแบบไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะว่าไปตอนเย็น แต่ปรากฎว่าน่าประทับใจ เพราะมีผักที่อยากได้ครบทุกอย่าง และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ราคาถูกมาก อโวคาโดลูกละแค่ 15 บาท หรือถั่วงอกถุงเบอเร่อ แค่สิบบาทเอง เท่ากับว่าผักกินได้ทั้งสัปดาห์จ่ายเงินไปแค่ 145 บาท

ดูเป็นอะไรที่เวิร์กอยู่เหมือนกัน รู้สึกเสียดายเงินก่อนหน้านี้ที่เราไปซื้อผักในซุปเปอร์มาร์เก็ตในราคาที่แพงกว่าหลายเท่าตัวไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว แค่ขายความสะดวกแค่นี้เอง ในแง่รักษ์โลก ตลาดสดอาจจะยังใช้ถุงพลาสติกกันอยู่ โดยเฉพาะในยุคโควิด แต่ก็ต้องถือว่าน้อยกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ต เพราะไม่ใช่ผักทุกอย่างที่จะห่อพลาสติก มีแค่บางอย่างเท่านั้นเอง

 

สร้างระบบการทำอาหารของตัวเอง

การทำอาหารกินเองให้ได้ทั้งความอร่อย สุขภาพ ประหยัด และรักษ์โลก เป็นอะไรที่ยากมากๆ เราอาจบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งได้ แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะบรรลุทุกเป้าหมายในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำกินเองคนเดียว แต่นั่นก็คือสิ่งที่จะพยายามทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในปี 2023 ที่จะถึงนี้

การทำเมนูซ้ำๆ หรือเมนูที่มีความใกล้เคียงกัน เช่น เป็นอาหารของชนชาติเดียวกัน จะช่วยทำให้ประหยัดวัตถุดิบ มีของเหลือทิ้งน้อยลง แต่ข้อเสียก็คือ ความหลากหลายลดลง ความอยากกินก็จะลดลงไปด้วย ทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์เรื่องความอร่อย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเราจะทำอาหารกินเอง เพราะอาหารของเราต้องแข่งขันกับอาหารที่ซื้อกินได้ เราถึงจะอยากกิน

เรามักคิดว่าการทำอาหารเองนั้นประหยัด แต่จริงๆ แล้ว มันตรงกันข้ามกันเลย อย่างน้อยที่สุดก็ในประเทศไทยยุคนี้ ซื้อกินเองยังไงก็ถูกกว่า เพราะบริษัทขนาดใหญ่มีวิธีการที่จะผลิตอาหารให้ได้ต้นทุนที่ต่ำมาก การทำกินเอง มีโอกาสสูงมากที่วัตถุดิบบางอย่างจะต้องเหลือทิ้ง ตัวอย่างเช่น ผงกะหรี่ ผมไม่เคยใช้จนหมดเลย มันต้องหมดอายุไปก่อน เพราะขวดเล็กๆ หาซื้อยากมาก ขนาดเล็กสุดก็อาจต้องใช้เวลากินหลายปีกว่าจะหมด เป็นต้น คนที่ทำอาหารกินเองได้ถูก อย่างน้อยต้องมีสมาชิกในบ้าน 4-5 คน ถึงจะแบ่งกันกินแล้วคุ้ม ทำกินคนเดียวยังไงก็แพงกว่า แต่ข้อดีของการทำกินเอง คือเราควบคุมวัตถุดิบที่เราจะใส่ได้ เช่น ไม่อยากกินน้ำตาล อยากใช้น้ำมันมะกอกผัดอาหาร ก็ทำได้

เช่นนี้แล้ว ก็สร้างระบบทำอาหารกินเอง ให้ดีที่สุดนั้น เราไม่สามารถเล็งผลเลิศ 100% ได้ แต่จำเป็นต้อง compromise บางอย่าง หาจุด optimal ให้เจอ ตัวอย่างเช่น เราจำเป็นต้องทำเมนูที่ซ้ำบ้างประมาณหนึ่ง เท่าที่ยังอยากกินอยู่ แต่ไม่สิ้นเปลืองวัตถุดิบมากจนเกินไป การใช้ถุงพลาสติกในบางกรณีก็จำเป็น หากต้องการบรรลุเป้าหมายเรื่องประสิทธิภาพ เป็นต้น

โดยส่วนตัว เหตุผลที่หันมาทำกินเองเป็นส่วนใหญ่คือต้องการกินอาหารที่มีผักมากขึ้น ลดการกินน้ำตาล และน้ำมันพืชที่ไม่ดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงอยากกินพวก superfood บางอย่างเป็นประจำ เพื่อให้บรรลุเหตุผลหลักนี้ ก็อาจจำเป็นต้องลดความคาดหวังต่อเป้าหมายอื่นๆ ลงบ้าง ในเวลาเดียวกัน ความอร่อยก็เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้ารู้สึกไม่อยากกิน ก็ไม่มีประโยชน์ ทรมานตัวเองเปล่าๆ

หลังจากที่ได้ลองทำหลากหลายเมนูมาหลายปี ก็ค่อยๆ ค้นพบว่า เมนูที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าอร่อย มากที่สุด ได้แก่เมนูจำพวก หม้อไฟ เช่น สุกี้ ชาบู นาเบะ หมาล่าหม้อไฟ อะไรทำนองนี้ รองลงมาก็คือพวกอาหารย่างที่มีผักประกอบ เช่น แซลมอลย่างเกลือ เนื้อย่าง เป็นต้น ก็เลยคิดว่าจะทำอาหารแนวๆ นี้ กินเองเป็นหลัก

ส่วนใหญ่แล้ว ผักคือวัตถุดิบที่จัดการยากที่สุด เพราะเน่าเสียเร็ว ส่วนพวกเนื้อจะจัดการง่ายกว่าเยอะ เพราะว่าสามารถเก็บไว้ในช่องแข็งได้นานมาก ส่วนใหญ๋แล้วการเลือกเมนูจึงมองเรื่องการใช้ผักเป็นหลัก ว่าจะต้องใช้ผักอะไรบ้าง แล้วเราจะกินผักเหล่านั้นให้หมดได้ก่อนที่มันจะเสียได้อย่างไร การซื้อครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ มีความจำเป็นถ้าหากต้องการได้กินผักที่สดใหม่อยู่เสมอ ต้องคิดว่าเราจะแวะซื้อผักระหว่างทางได้อย่างไร แบบที่ใช้เวลาน้อยที่สุด ถ้าสามารถจัดการเรื่องผ้กได้ดี ก็เรียกได้ว่า มีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง

ที่คิดไว้คือมื้อเช้าจะเป็นมื้อที่กิน superfood ทั้งหลายที่อยากกิน เป็นหลัก ได้แก่ นม ถั่ว เบอร์รี่ งา ไข่ และอะโวคาโด ส่วนมื้อกลางวันและเย็น ค่อยกินพวกหม้อไฟ และปิ้งย่าง แล้วก็อาจมีจานผัด จานต้ม เสริมบ้าง รวมทั้งเป็นโอกาสในการกินพวกปลา และผักใบเขียว ด้วย  ถ้าเป็นไปได้ก็จะงดมื้อเย็นบ้าง เพื่อสุขภาพ

มื้อเช้า กินนมใส่ถั่ว เบอร์รี่และธัญพืช กับไข่ลวกหรือไข่ดาว เบคอน ตบท้ายด้วยอโวคาโด

มื้อกลางวันหรือเย็น จะกินเมนูเหล่านี้เป็นหลัก

  1. ชาบู
  2. เช็ตแซลมอลย่าง + บ็อคเคลี กิมจิ
  3. ซุปเกาหลี + ผักเคียง + ข้าวกล้อง
  4. เช็ตเนื้อย่าง + ข้าวกล้อง
  5. ผัดวุ้นเส้นหมาล่า

เมื่อกำหนดเมนูประจำได้แล้ว ก็จะทำให้เรารู้ว่าเราต้องซื้อผักอะไร (และไม่ซื้อผักอะไรบ้าง) ได้แก่ บอกชอย เต้าหู้ เห็ดชิเมจิ บ็อคเคลี กิมจิ แตงกวา ถั่วงอก ผักกาดหอม อโวคาโด แค่นี้ก็พอ จะได้เหลือทิ้งให้น้อยที่สุด ถ้ากินเมนูเหล่านี้วนๆ ไป ก็น่าจะสามารถใช้วัตถุดิบที่ซื้อมาได้หมดจนแทบไม่เหลือทิ้ง

โดยจะแวะซื้อผักและนมระหว่างทางกลับบ้านที่โลตัส หรือไม่ก็ตลาดสด สัปดาห์ละประมาณ 2 ครั้ง ส่วนวัตถุดิบจำพวกเนื้อและอย่างอื่นๆ ก็จะซื้อมาตุนไว้ในช่องแข็ง ทุกวันพฤหัสจะกินมื้อเดียว ส่วนวันอื่นๆ ถ้าเป็นไปได้ ก็จะงดอาหารเย็นด้วย พยายามงดหวาน และใช้น้ำมันมะกอกผัดอาหาร แต่ไม่ได้มีข้อห้ามกินอย่างอื่น กินอะไรก็ได้ที่อยากกิน แต่ไม่กินเยอะ พยายามควบคุมน้ำหนักไว้ไม่ให้เกิน 70 กก. นานๆ ทีก็อาจจะมีการทำเมนูแปลกๆ เพื่อสร้างความหลากหลาย ยังไงๆ ก็ยังต้องกินนอกบ้านอยู่ในบางมื้อที่จำเป็นต้องกินกับคนอื่น ดังนั้นคงไม่ได้น่าเบื่อจนเกินไปอยู่แล้ว

ปีที่ผ่านมาลองไปซื้อของในตลาดสด เพราะอยากลดใช้ถุงพาสติก และผักที่ตลาดสดสามารถซื้อน้อยๆ ได้ แต่พบว่าไม่เวิร์กเลย ตลาดสดมักจะเดินทางไปลำบาก และไม่ได้เปิดตลอดเวลา สุดท้ายแล้วปีนี้ก็เลยหาจุดกึ่งกลาง จะลองซื้อของที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตแทน เพราะถูกว่าห้าง และผักบางส่วนก็ไม่มีถุงพาสติก

ลองดูครับว่าจะเป็นยังไง ตลอดปี 2023 ค่อยๆ ปรับปรุงแผนไปเรื่อยๆ ให้ลงตัว

Fighto.

เริ่มชอบอาหารเกาหลี

ช่วงนี้หันมาทำอาหารเกาหลีแหลก ซึ่งเป็นอะไรที่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีความเหยียดอาหารเกาหลีนิดๆ รู้สึกว่าเป็นอาหารที่มีความหลากหลายน้อย อะไรๆ ก็ใส่กิมจิ อะไรๆก็ใส่โคชูจัง

แต่ช่วงหลังๆ เริ่มเปลี่ยนความคิด อาหารชาตินี้มีผักให้กินเยอะมาก ถ้าหากทำกินเองที่บ้าน ไม่ได้กินแต่เนื้อย่าง และเป็นอาหารที่มีความเรียบง่ายในแบบของมัน ไม่แพ้อาหารญี่ปุ่นหรืออิตาเลียน คิดว่าต่อไปคงปรับเมนูบางตัวของอาหารเกาหลีเข้ามาเป็นเมนูอาหารที่กินประจำของผม

วิธีหนึ่งที่ช่วยให้การทำอาหารกินเองมีประสิทธิภาพคือการเลือกทำอาหารชาติใดชาติหนึ่งไปเลย เพราะวัตถุดิบที่ใช้จะคาบเกี่ยวกันหลายเมนูมากกว่า ทำให้มีของเหลือน้อยกว่า และโดยเฉพาะอาหารเกาหลี สามารถเอาผักที่กินเหลือๆ ไปทำ Buchimgae กินตอนจบได้อีกด้วย

รถหุ่นยนต์หลบสิ่งกีดขวาง

สิ่งหนึ่งที่่ค้างคาใจมาตั้งแต่เด็กคืองานอดิเรกด้านอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยความที่เราเรียนจบมาทางนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เคยเล่นๆ เลิกๆ เป็นพักๆ ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ พอเราต่อวงจรในแบบที่อยากได้เสร็จแล้ว เราก็จะไม่รู้ว่าจะต่อยอดมันได้ยังไง มันเหมือนเป็นของเล่นที่เล่นแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น หนนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เรากลับมาหามันใหม่ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คือเข้าสู่โลกของ Robotics และ AI และรวมไปถึง IoT ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเล่นๆ เลิกๆ อีกเป็นรอบที่ล้านรึเปล่า เหอๆ

ก่อนหน้านี้ผมเลยเล่น Raspberry Pi อยู่ แต่ส่วนที่ไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับมันคือ มันเป็นคอมพิวเตอร์ดีๆ นี่เอง มีระบบปฏิบัติการ ทำให้เวลาปิดเครื่องจะต้องส่งคำสั่งปิด ไม่เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถเปิดปิดได้ทันที ทำให้มันไม่สะดวก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาไฟดับ ไฟตก ซึ่งบ้านเราไฟก็ไม่ได้นิ่งตลอดเวลาขนาดนั้น ถ้าเรามี Pi ไว้ทำงานอะไรสักอย่างเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา ก็จะต้องมี UPS ให้มันด้วย ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆ ไฟตกทีเดียวไปหมด ทำให้รอบนี้ผมหันมาสนใจ Arduino และผองเพื่อนมากกว่า

โปรเจ็ค Arduino แรกที่อยากทำก็คือรถหุ่นยนต์นี่แหละ ตอนแรกนึกถึงรถที่บังคับไปมาได้ แต่ไปๆ มาๆ อยากให้มันมีความ autonomous สักนิด เหมาะกับยุคสมัย ก็เลยอยากได้รถที่วิ่งแล้วหลบสิ่งกีดขวางไปมาได้เองดีกว่า แม้จะยังไม่ใช่ machine learning อย่างแท้จริง เป็นแค่ logic ง่อยๆ ธรรมดา ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

Arduino Uno R3

ผมเลือกใช้ Arduino Uno R3 เป็นสมองของรถ ไม่ใช่อะไร มันเป็นรุ่นมาตรฐาน ในการขับเคลื่อน จำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า L298N Motor Driver เพื่อให้มีกำลังไฟมาพอที่จะขับมอเตอร์ล้อได้ด้วย และมี ultrasonic sensor ที่ช่วย Detect สิ่งกีดขวางตรงหน้า เพื่อที่จะได้หลบได้ ในส่วนของล้อก็เลือกแบบง่ายที่สุดคือแค่ 2 ล้อ และเป็นล้อที่เลี้ยวง่ายๆ ด้วยการให้ล้อหนึ่งหมุนทวนเข็ม อีกล้อหมุนตามเข็ม ไม่ต้องมีพวงมาลัย หรือเพลาที่เอียงได้ให้ยุ่งยากอะไร โดยมอเตอร์เหลืองที่ใช้สามารถขับได้ด้วยไฟตรงตั้งแต่ 3-12V เลย และส่วนสุดท้ายที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ Sensor Shield ที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแค่ทำให้ Arduino สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงได้เยอะขึ้น เพราะมีพอร์ตมากขึ้น แค่นั้นเอง

DC Motor และล้อ
Sensor Shield V5

อุปกรณ์ที่ใช้

สิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมในโลกของ Arduino คือ การเขียนโปรแกรมให้มันผ่าน Arduino IDE ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ สำหรับเขียนคำสั่งง่ายๆ คอมไพล์ แล้วอัพโหลดเข้าไปในตัว Arduino ผ่านสาย USB ทักษะอีกอย่างหนึ่งที่ต้องมีเวลาเล่น Arduino คือ การบัดกรี เพื่อเชื่อมต่อสายไฟต่างๆ เข้าด้วยกันแบบถาวร ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ใช่ทุกส่วนจะต่อเข้าหากันผ่านสายจัมเปอร์ได้หมด บางส่วนก็ยังจำเป็นต้องบัดกรีอยู่ เช่น ส่วนที่ต่อกับกะบะถ่านไฟฉาย หรือมอเตอร์ และสวิตซ์ปิดเปิดเป็นต้น ดังนั้นควรมีอุปกรณ์บัดกรีไว้ประจำตัว และระมัดระวังเรื่องการสูดดมควัน ควรทำงานในที่มีอากาศถ่ายเทเสมอ และมีพัดลมช่วยเป่าควันที่เกิดขึ้นออกไปในทางที่ห่างตัวเรา รวมทั้งต้องมีคีมปลอกสายไฟ เพื่อให้ทำงานได้สะดวกและดูเรียบร้อยขึ้นด้วย

L298N

L298N Motor Driver

สำหรับตัวขับมอเตอร์ตัวนี้ สามารถขับมอเตอร์ให้เคลื่อนไหวได้ต่างกันสองตัว (Out 1,Out 2) โดยใช้ไฟจากแหล่งจ่ายได้ Vcc  และยังจ่ายไฟออกไปเลี้ยง Arduino ได้ด้วยทางพอร์ต 5V ทำให้ไม่ต้องมีแหล่งจ่ายไฟหลายแหล่ง (ต้องใส่ Jumper 5VEN ไว้เมื่อต้องการให้พอร์ต 5V กลายเป็นแหล่งจ่ายไฟออก) ส่วนการบังคับล้อก็ทำผ่านพอร์ตสัญญาณ (IN 1,2,3,4, ENA, ENB) ซึ่งสามารถปรับได้ทั้งทิศทางและความเร็วรอบ  รายละเอียดของการใช้งานสามารถดูได้จาก ที่นี่

Ultrasonic Sensor 

หลักการของ sensor ตัวนี้คือมันจะส่งคลื่นอินฟาเรดออกไปให้สะท้อนกลับมา แล้วคำนวณหาว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้าหรือไม่ โดยวัดเวลาที่ใช้ในการสะท้อนกลับ ซึ่งเสียงมีความเร็ว 340 เมตรต่อวินาที เดินทางไปกลับ เท่ากับว่า ถ้าใช้เวลาเดินทาง T วินาที ก็เท่ากับมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้าห่างออกไป (34x T)/2  เป็นต้น

ภาพวงจรเชื่อมต่อ

ตรรกของโปรแกรมก็ง่ายๆ หุ่นยนต์จะวิ่งไปข้างหน้าเสมอ แต่เมื่อไรก็ตามที่จับสิ่งกีดขวางตรงหน้าที่ห่างออกไปไม่เกิน 15 ซม.ได้ จะทำการถอยหลัง 15 ซม. แล้วหมุนตัวโดยสุ่มทิศทาง แล้วค่อยวิ่งไปข้างหน้าเหมือนเดิม ถ้าหากเจอสิ่งกีดขวางอีกก็ทำแบบเดิมอีก ไปเรื่อยๆ แค่นั้นเลย

ตัวอย่าง code ที่ใช้

// Motor A connections
int enA = 9;
int in1 = 8;
int in2 = 7;
// Motor B connections
int enB = 3;
int in3 = 5;
int in4 = 4;

int trigPin = 11; // TRIG pin
int echoPin = 10; // ECHO pin

float duration_us, distance_cm;

void setup() {
// Set all the motor control pins to outputs
pinMode(enA, OUTPUT);
pinMode(enB, OUTPUT);
pinMode(in1, OUTPUT);
pinMode(in2, OUTPUT);
pinMode(in3, OUTPUT);
pinMode(in4, OUTPUT);

// Turn off motors – Initial state
digitalWrite(in1, LOW);
digitalWrite(in2, LOW);
digitalWrite(in3, LOW);
digitalWrite(in4, LOW);

Serial.begin (9600);

// configure the trigger pin to output mode
pinMode(trigPin, OUTPUT);
// configure the echo pin to input mode
pinMode(echoPin, INPUT);

}

void loop() {

if (isClear()) {

// Set Speed
analogWrite(enA, 128);
analogWrite(enB, 128);

// Turn on motor A & B
digitalWrite(in1, HIGH);
digitalWrite(in2, LOW);
digitalWrite(in3, LOW);
digitalWrite(in4, HIGH);

} else {

changeDirection();

}
delay(500);

}

// This function lets you control spinning direction of motors
void changeDirection() {

digitalWrite(in1, LOW);
digitalWrite(in2, HIGH);
digitalWrite(in3, HIGH);
digitalWrite(in4, LOW);
delay(1000);

digitalWrite(in1, LOW);
digitalWrite(in2, HIGH);
digitalWrite(in3, LOW);
digitalWrite(in4, HIGH);
delay(1500);

}

bool isClear() {
// generate 10-microsecond pulse to TRIG pin
digitalWrite(trigPin, HIGH);
delayMicroseconds(10);
digitalWrite(trigPin, LOW);

// measure duration of pulse from ECHO pin
duration_us = pulseIn(echoPin, HIGH);

// calculate the distance
distance_cm = 0.017 * duration_us;

if (distance_cm<15) {
return false; }
else {
return true;
}

}

 

Cheeseburger Casserole

เมนูนี้เป็นเมนูที่ถอดรื้ออาหารที่เราคุ้นเคยอย่างชีสเบอร์เกอร์ ให้กลายเป็นอาหารที่เน้นสุขภาพมากขึ้น เพราะตัดแป้งออกไปจากส่วนผสม แต่ส่วนผสมอย่างอื่นยังอยู่ครบ และเปลี่ยนวิธีการให้ความร้อนใหม่มาเป็นการอบแทนการทอด มีการเติมไข่ลงไปด้วย เพื่อเชื่อมโยงส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน

ใส่เนื้อบด มะเขือเทศสับ ไข่คน เชลด้าชีส ลงไปในถาดเซรามิก โดยเรียงกันเป็นชั้นๆ อาจเพิ่มผักต่างๆ ลงได้ด้วยก็ได้ตามใจชอบ จากนั้นนำไปอบในเตาที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที